การบริการเชิงรุก (Proactive Service) เป็นการวางแผนการในการให้บริการลูกค้าล่วงหน้าอย่างละเอียดและรอบคอบ มีความรับผิดชอบ รวมถึงเป็นการแสดงออกถึงความต้องการและปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้รับบริการโดยไม่รีรอให้ผู้รับบริการร้องรอ โดยผู้ให้บริการต้องคำนึงถึงความต้องการเฉพาะของลูกค้าและให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด โดยยึดแนวปฏิบัติ 4 ประการ ในการทำบริการเชิงรุก คือ
- เมื่อผู้ให้บริการได้รับรู้ความต้องการของลูกค้าแล้ว ผู้ให้บริการต้องพัฒนาแผนการบริการลูกค้า เพื่อเป็นเสมือนกรอบหรือแนวทางของผู้ให้บริการทั้งผู้บริหารและพนักงาน เพื่อนำไปสู่การให้บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
- การวางแผน คือ การหาคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า จะทำอะไร ทำไมต้องทำ จะทำอย่างไร จะทำเมื่อใด จะทำที่ไหน จะให้ใครทำ จะต้องใช้ทรัพยากรอะไร
ความสำคัญของการวางแผนในการบริการ
- เป็นเครื่องมือในกระบวนการบริการ
- เป็นวิธีดำเนินการเชิงป้องกัน
- เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจในการอยู่รอดขององค์กร
- เป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จในการดำเนินงานขององค์กร
- เป็นการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคโลกาภิวัตน์
ประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับจากการวางแผน
- องค์กรสามารถกำหนดทิศทางในการบริการลูกค้าได้
- ทำให้เกิดความรู้สึกแห่งการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับชั้น
- สามารถใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
- ทำให้มีการตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทำให้สามารถประเมินความสำเร็จในการบริหารงานได้อย่างเป็นระบบ
ขั้นตอนของการวางแผนในการบริการ
- การเก็บข้อเท็จจริงในการบริการลูกค้าในปัจจุบัน ในการทำงานทุก ๆ วัน องค์กรจะต้องรับรู้ว่าลูกค้ามีความพึงพอใจในการให้บริการขององค์กรหรือไม่อย่างไร เพื่อจะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน และเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนงานขององค์กรต่อไป
- การค้นหาความต้องการของลูกค้า ด้วยการรับฟังการฟังความคิดเห็นและความต้องการของลูกค้า นำไปสู่การคิดค้นสินค้าและบริการใหม่ ๆ ตลอดจนการปรับปรุงสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีขึ้น เพื่อมัดใจลูกค้าได้อย่างยั่งยืน
- กำหนดนโยบายในการบริการลูกค้า ในการกำหนดนโยบายของการทำงานทุกครั้ง ผู้บริหารกิจการต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ต้องเป็นนโยบายที่สามารถปฏิบัติได้โดยที่จะไม่สร้างความขุ่นใจให้แก่ลูกค้า มากไปกว่าการสร้างความพึงพอใจ โดยนโยบายดังกล่าวอาจหาข้อมูลความต้องการได้จากลูกค้าเช่น วิธีการชำระเงิน “ชำระได้ด้วยบัตรเครดิต” ระยะเวลาในการเปิดให้บริการลูกค้า “ตลอด 24 ชั่วโมง”
- พัฒนาทักษะในการบริการ ทักษะในการให้บริการลูกค้าเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะอยู่ในขั้นตอนของการส่งมอบบริการแก่ลูกค้า ต้องมีความเป็นมืออาชีพ มีความชำนาญ มีความถูกต้องแม่นยำ เช่น ทักษะทางการสื่อสาร การใช้ภาษาพูด ภาษากาย การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การขจัดข้อร้องเรียนในงานบริการ
- หล่อหลอมในการให้บริการตามแผน เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่แผนการบริการกำหนดไว้ โดยพนักงานจะต้องมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติได้ ซึ่งอาจจะใช้การประชุม การจัดฝึกอบรมอย่างเข้มข้น เน้นความรับผิดชอบในภาระหน้าที่ของแต่ละบุคคล เน้นการให้บริการแก่ลูกค้าด้วยหัวใจ (Service Mind)
จากการวางแผนงานในการบริการแล้วจะเห็นว่า ภาพรวมทั้งหมดของแผนการบริการลูกค้าเน้นไปที่ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง( Customer Centric) ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายการทำงานและเป็นทิศทางการให้บริการขององค์กรในอนาคต
- ทุกคนในองค์กร ตั้งแต่พนักงาน ผู้จัดการ ผู้บริหาร ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “ลูกค้า” (Customer) และปฏิบัติต่อเขาอย่างดีสมกับบทบาทหน้าที่ในการให้การบริการแก่ลูกค้าในฐานะที่เราเป็นเจ้าของกิจการ
- ในฐานะผู้ให้ที่ไม่มีสิทธิเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากลูกค้ามีความสำคัญ ลูกค้าขาดเราได้ แต่เราจะขาดลูกค้าเสียไม่ได้ ลูกค้าจึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ดังความหมายของลูกค้าว่า ลูกค้าเป็นฝ่ายถูกเสมอ และลูกค้าคือพระราชา จึงเหมือนเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ให้บริการว่าอย่างไรก็ตามต้องพึงให้ความสำคัญแก่ลูกค้าอยู่เสมอภาพขององค์กรในการให้บริการลูกค้า
- ทุกคนในองค์กรต้องมองว่าลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พนักงานทั้งด้านหน้า (Front Line) และพนักงานปฏิบัติงานด้านหลัง (Back Office) เพื่อทุกหน่วยงานในองค์กรจะได้นำส่งมอบบริการที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าได้ซึ่งมีการทำงานดังนี้
- ผู้บริหารต้องปฏิบัติให้เป็นต้นแบบ (Role Model) และปลูกฝังเรื่อง Customer Centric แก่พนักงาน ในการพูดถึงความสำคัญและการเอาใจใส่แก่ลูกค้า และปฏิบัติต่อลูกค้าด้วยความรู้สึกที่จะส่งมอบบริการให้กับลูกค้าให้เกิดความประทับใจ ดังนั้นผู้บริหารต้องสร้างให้เกิดต้นแบบ (Role Model) ให้แก่พนักงานให้เกิดการปฏิบัติตาม
- การจัดอบรมแก่พนักงาน (Training) ในเนื้อหาของการบรรยายและฝึกปฏิบัติโดยจะต้องนำสถานการณ์จริงจากการทำงานประจำวันมาศึกษา โดยมีวิทยากรให้คำปรึกษาและข้อแนะนำ
- การให้ขวัญและกำลังใจ (Encouragement) แก่ผู้ที่ทำดี ผู้ที่ทำให้ลูกค้าประทับใจ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจและกระตุ้นให้พนักงานทุกคนอยากจะทำในสิ่งที่ดี
เมื่อองค์กรมีการวางแผนการในการบริการและเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการบริการแล้ว หลังจากนั้นองค์กรต้องมีการปลูกฝังให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับลูกค้ามี จิตใจในการบริการหรือบริการลูกค้าด้วยหัวใจ นั่นคือ Service Mind
Service Mind นั้นถือเป็นความสามารถ (Competency) อย่างหนึ่ง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็น ความสามารถหลัก (Core Competency) ที่องค์กรคาดหวังให้พนักงานทุกคน ทุกระดับตำแหน่งงานมีความสามารถด้านนี้เหมือนกันทั้งหมดและถือเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้ทำงานทางด้านการบริการซึ่งจะต้องเต็มไปด้วยความรับผิดชอบและความเสียสละทุ่มเทในการท างานด้านการบริการ
Service Mind มีความหมายดังนี้
S = Smile ต้องมีรอยยิ้ม
E = Enthusiasm ความกระตือรือร้น เอาใจใส่ลูกค้า
R = Responsiveness มีความรับผิดชอบในหน้าที่ที่มีต่อลูกค้า
V = Value ให้บริการลูกค้าอย่างมีคุณค่า
I = Impression ให้บริการอย่างประทับใจ
C = Courtesy บริการลูกค้าอย่างสุภาพอ่อนโยน
M= Make Believe มีความเชื่อ
I = Insist การยอมรับ
N = Necessitate การให้ความสำคัญ
D = Devote การอุทิศตน
การปลูกฝังจิตสำนึกในการบริการ
การปลูกฝังจิตสำนึกในการบริการนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาซึ่งไม่อาจเร่งรัดได้ในทันทีทันใด ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน บางคนได้รับจากการปลูกฝังเลี้ยงดูมาจากครอบครัว สอนให้มีการบริการมาแต่เด็ก เช่นการช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน หยิบของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือแม้แต่การช่วยบริการน้ำดื่มขณะที่รับประทานอาหารระหว่างครอบครัว ซึ่งจะเป็นการปลูกฝังให้คนในครอบครัวมี จิตสำนึกในการให้บริการได้เป็นอย่างดี และในที่สุดจะกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์ และเป็นที่รักใคร่แก่บุคคลที่อยู่รอบข้าง รวมถึงเป็นที่รักใคร่แก่เพื่อนร่วมงานการปลูกฝังจิตสำนึกในการบริการ เมื่อทำบ่อย ๆ ขึ้นจะกลายเป็นอุปนิสัย
อุปนิสัยที่จะปรากฏให้เห็นและรู้สึกได้ มี 3 ด้าน ได้แก่
- อุปนิสัยทางกาย หมายถึง กิริยาที่สื่อความหมายแก่บุคคลทั่วไป เช่น ความคล่องแคล่ว ความกระตือรือร้น การแสดงออกทางมารยาทที่เหมาะสมแก่ กาลเทศะ มารยาทในการต้อนรับลูกค้า
- อุปนิสัยทางวาจา หมายถึง การแสดงออกทางคำพูด เช่น การพูดแบบก้าวร้าว การพูดประจบสอพลอ การพูดยกยอ การพูดที่สุภาพ การพูดอย่างถูกกาลเทศะ
- อุปนิสัยทางใจ หมายถึง การแสดงออกถึงอุปนิสัยทางกาย และวาจา ซึ่งแสดงถึงจิตใจของบุคคลว่าเป็นบุคคลใจร้อนหรือใจเย็น การควบคุมอารมณ์ในการสื่อสารกับลูกค้า เป็นต้น
การที่จะทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบริการมีจิตสำนึกในการบริการนั้น อาจจะไม่สำเร็จได้ในวันเดียว ดังนั้นผู้บริหารองค์กร จำเป็นต้องหมั่นตรวจสอบและประเมินและให้กำลังใจในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง
ทักษะในการให้บริการลูกค้ามีความจำเป็นต่อผู้ปฏิบัติงานใน ด้านการให้บริการ ซึ่งผู้ปฏิบัติงานบริการจำเป็นต้องมีการฝึกฝน ให้มีความรวดเร็วและมีความชำนาญเพื่อไม่ให้ผิดพลาดก่อนการส่งมอบบริการแก่ลูกค้า ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้ปฏิบัติงานบริการ ได้แก่
- ทักษะทางด้านการทักทาย
- ทักษะด้านการรับฟัง
- ทักษะทางด้านการจัดการข้อร้องเรียน
ทักษะทางด้านการทักทาย
การทักทายลูกค้าถือเป็นด่านแรกในการต้อนรับลูกค้าและเป็นการสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบแก่ลูกค้า (First Impression) ซึ่งผู้ปฏิบัติงานด้านการบริการจะต้องใส่ใจลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำแล้วซ้ำอีก ในกรณีที่ลูกค้ามีความรู้สึกในเชิงบวกที่มากต่อการบริการที่ได้รับลูกค้าอาจมีการแนะนำหรือบอกต่อต่อบุคคลใกล้ชิดให้มาใช้บริการด้วยก็เป็นได้ (Referral) บางองค์กรเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้ามากเป็นพิเศษ จะเน้นการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าแต่แรกพบมาเป็นจุดขาย (Selling Point) เช่น “เราจะดูแลท่านดุจญาติมิตร” หรือ “คุณคือลูกค้ารายใหญ่ของเรา” หรือ “ลูกค้าคุณคือเพื่อนที่แสนดี” ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้เมื่อยามที่ลูกค้าต้องการใช้บริการก็จะนึกถึงองค์กรนั้นเป็นแห่งแรกและแห่งเดียว ดังนั้นการทักทายลูกค้าจึงเป็นด่านแรกที่เน้นและให้ความสำคัญ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นต้องอาศัยหลักในการทักทายดังนี้
- มีการกล่าวต้อนรับทักทาย การกล่าวต้อนรับทักทายคำพูดที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและไม่มีวันล้าสมัย คือ “สวัสดีค่ะ” ถือว่าเป็นการตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการหรือองค์กรเอกชนองค์กรต่าง ๆ นิยมใช้ การทักทายดังกล่าวต้องทำแบบเต็มใจและน้ำเสียงจะต้องมีความนุ่มนวลชวนฟัง เต็มไปด้วยความเต็มใจ
- เมื่อกล่าวทักทายด้วยภาษาพูดแล้ว อาจจะต้องตามด้วยการใช้ภาษากาย หรือที่เรียกว่า Body Language คือการ “ไหว้” ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแบบไทยแท้แต่โบราณ แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกที่ดีแก่ลูกค้า ว่าเป็นการให้เกียรติกันลูกค้าก็พอใจในการให้บริการ เปิดใจลูกค้าได้ในระดับหนึ่งและสามารถสร้างความซาบซึ้งใจได้
- การสบสายตา หรือที่เรียกว่า “Eye Contact” การสบสายตาลูกค้า เพื่อเป็นการส่งสัญญาณในการต้อนรับและบ่งบอกถึงความจริงใจที่จะส่งมอบให้
- การยิ้ม (Smiling Face) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการบริการจำเป็นต้องมีเพราะสามารถสร้างความเป็นมิตรให้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ตลอดการให้บริการ ซึ่งการยิ้มนี้อาจเป็นขึ้นตอนแรกที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการกล่าวคำสวัสดี การไหว้ การสบตา ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานบริการมีบุคลิกที่น่าประทับใจที่สุด
ทักษะด้านการรับฟัง
จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานด้านการบริการรับรู้เรื่องราวของลูกค้าหรือรู้ถึงความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี และถือเป็นการให้เกียรติลูกค้าอีกทางหนึ่งด้วย หลักในการฟังมี 3 ประการดังนี้
- ฟังอย่างตั้งใจ การฟังอย่างตั้งใจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อผู้ปฏิบัติงานบริการหยุดพูด ในขณะที่รับฟังลูกค้า ควรแสดงสีหน้าท่าทางที่เป็นมิตร และไม่ควรแสดงสีหน้าที่ส่อเจตนาไปในทางขัดแย้ง เช่น การขมวดคิ้ว การก้มหน้า การมองไปในจุดต่าง ๆ ที่ไม่ใช่จุดที่ลูกค้ายืนอยู่ หรือหลับตา ขณะที่รับฟัง เพราะฉะนั้น ขณะรับฟังควรสบตากับลูกค้า ควรพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความเข้าใจ จะทำให้ลูกค้าทราบว่าเราส่งไมตรีที่เป็นมิตรแก่ลูกค้าพร้อมให้ความช่วยเหลือหรือส่งมอบบริการที่ดีแก่ลูกค้า
- ฟังอย่างอดทน แม้ผู้ที่พูดอยู่จะพูดเสียงค่อยมาก หรือพูดยาวมาก พูดวกวน และแสดงกิริยาน่ารำคาญ พูดเรื่องน่าเกลียด ใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ ผู้ปฏิบัติงานบริการจะต้องมีความอดทนกับสิ่งเหล่านี้สักครู่ก่อน เพื่อจะช่วยให้เราได้ทราบถึงทัศนคติ ความคิดเห็น และความรู้สึกของลูกค้า เพื่อจะได้ปฏิบัติตอบได้อย่างถูกต้องและถูกใจ
- ฟังอย่างทบทวน การฟังลูกค้าพูด บางครั้งลูกค้าพูดประโยคยาว ๆ ผู้ฟังต้องฟังอย่างทบทวนและสร้างความเข้าใจตั้งแต่ต้น และสร้างความต่อเนื่องของเรื่องราวต่าง ๆ โดยอาจจะมีการจดข้อความเหล่านั้นด้วยก็ได้ หากตอนใดไม่ชัดแล้วต้องการให้ลูกค้าขยายความชัดเจน ก็ควรสอบถามผู้พูดโดยสุภาพ และผู้พูดต้องการความคิดเห็นก็สามารถเสนอความคิดเห็นออกไปได้บ้าง
ทักษะด้านการจัดการข้อร้องเรียน
เมื่อผู้รับบริการไม่พอใจ เพราะผู้ปฏิบัติงานบริการปฏิบัติอย่างล่าช้า หรือเกิดข้อผิดพลาด ใด ๆ ทำให้ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวกสบาย เป็นธรรมดาที่ลูกค้าจะต้องร้องเรียนถึงสิ่งเหล่านั้น ผู้ปฏิบัติงานบริการจึงจำเป็นต้องมีทักษะที่จำเป็นดังนี้เพื่อใช้ในการจัดการกับข้อร้องเรียนเหล่านั้น
- ต้อนรับคำบ่น (Welcome Complaints) อย่าด่วนออกตัวหรือกล่าวแก้ใด ๆ ในทันที แต่ต้องแสดงความเต็มใจในการรับฟังปัญหาเหล่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าเอาไปบ่นให้กับลูกค้ารายอื่น ๆ ฟัง และเรามีโอกาสที่ได้แก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจ และกลายเป็นความเชื่อมั่นและทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อลูกค้าต่อไป
- แสดงความเสียใจ (Express Regret) บอกสาเหตุด้วยท่าทีที่จริงใจในเหตุการณ์ที่ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวก และท่านต้องการให้ลูกค้าพอใจมากกว่านี้ ท่านกำลังเป็นห่วงและกังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และใคร่ขอให้ลูกค้าเข้าใจและคิดถึงบริษัทหรือองค์กรของท่านในแง่ดีต่อไป
- ฟังอย่างตั้งใจ (Listen Attentively) ปล่อยให้ลูกค้าแสดงอารมณ์ออกให้หมด อย่าขัดจังหวะขณะที่ลูกค้ากำลังพูดหรือบ่น หลังจากนั้นให้ระบุเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารับฟังได้ง่ายขึ้น
- รวบรวมข้อเท็จจริง (Collect the Facts) ขณะที่ลูกค้าบ่นหรือต่อว่าด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ท่านต้องพยายามรวบรวมข้อเท็จจริง
- เสนอว่าจะพิจารณาตามคำแนะนำและดำเนินการอย่างเร่งด่วน (Offer to consider his suggestion and act) ในข้อนี้จะตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นที่สุด ลูกค้าบางคนอาจมีข้อเสนอแนะพร้อมกับคำบ่น หรือบางทีก็อาจจะแจ้งให้ทราบเฉย ๆ ไม่ต้องการให้แก้ไขใด ๆ ซึ่งก็จะสะดวกต่อท่านในการจัดการและแก้ไขปัญหาตามคำแนะนำ าของลูกค้า ในกรณีที่รับปากกับลูกค้าว่าจะจัดการ ควรระบุวันที่จะแล้วเสร็จเพื่อลูกค้าจะสบายใจและลดความกังวลใจได้
จากทักษะทั้ง 3 ข้อดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นทักษะที่รวมเอาไว้ด้วยเรื่องของการสื่อสารทางด้าน วาจา และทางด้านร่างกาย และรวมไปถึง การแสดงถึงความปฏิภาณไหวพริบของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในด้านงานบริการจำเป็นจะต้องมีเพื่อให้การส่งมอบบริการมีความสมบูรณ์และตรงกับใจลูกค้ามากที่สุด
สรุป
การทำงานบริการเชิงรุกทั้ง 4 ด้าน เป็นแนวปฏิบัติที่จะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานทางด้านการบริการมีความรู้และสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดเป็นทักษะ และลดปัญหาขณะปฏิบัติงานได้ รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างกำลังใจในการปฏิบัติงาน ไม่หลีกหนีปัญหา สามารถรับมือกับปัญหาทางด้านงานบริการได้ นำไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการบริการเชิงตั้งรับมาเป็นการบริการเชิงรุกได้อย่างถูกต้องโดยมีการวางแผนการให้บริการลูกค้า ศึกษาความต้องการของลูกค้า และปรับตัวเองให้มีหัวใจแห่งการให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มใจ มีทักษะการส่งมอบบริการลูกค้าได้อย่างถูกตัวและถูกใจ และเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมการบริการเชิงรุกได้อย่างถาวรและองค์กรของบุคคลเหล่านี้ก็จะเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมในการให้บริการเชิงรุกและนำมาซึ่งความพึงพอใจของลูกค้าตลอดไป
บรรณานุกรม
มหาวิทยาลัยพายัพ. (2551). การสร้างบริการเชิงรุกสู่ความเป็นเลิศ (Excellence Proactive Service).
ค้นเมื่อ 14 กันยายน 2555, จาก http://mkpayap.payap.ac.th/siriporn/pdf/pyupdf3.pdf